22 พฤษภาคม 2568 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการติดตามตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ ครั้งที่ 2/2568 พร้อมด้วยนางสาวพิมพ์พร ชีวานันท์ เลขานุการ รมว.ศธ. โดยมีนายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ., นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการ กอศ., นายมณฑล ภาคสุวรรณ์ เลขาธิการ กช. ผู้ตรวจราชการ ผู้บริหาร ศธ. ตลอดจนคณะกรรมการฯ ผู้ทรงคุณวุฒิ เข้าร่วม ณ ห้องประชุมราชวัลลภ และผ่านระบบ e-Meeting

รมว.ศธ. เปิดเผยว่า แนวทางในการติดตาม ตรวจสอบ และประเมินผลการจัดการศึกษาในภาพรวมของประเทศนั้น ควรพิจารณาในระดับเขตตรวจราชการ โดยแยกเป็นรายจังหวัด เพื่อให้สามารถมองเห็นภาพรวมของการดำเนินงานได้อย่างชัดเจน ซึ่งจะมีสำนักงานศึกษาธิการจังหวัด โดยคณะกรรมการศึกษาธิการจังหวัด (กศจ.) เป็นกลไกหลักในการดำเนินงาน และให้นำเสนอข้อมูลต่อผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการเพื่อใช้ประกอบการพิจารณาในทุกมิติ ทั้งในด้านความก้าวหน้า ปัญหาอุปสรรค และแนวทางการแก้ไข

สำหรับจังหวัดที่มีความเข้มแข็งในการบริหารจัดการศึกษา ก็ให้เข้ามาร่วมให้ข้อเสนอหรือคำแนะนำในส่วนของจังหวัดที่ยังมีข้อจำกัดหรือความท้าทาย เพื่อสร้างความร่วมมือและยกระดับคุณภาพการศึกษาทั้งระบบ “ทุกจังหวัดมีศักยภาพในการขับเคลื่อนการศึกษา หากร่วมมือกันอย่างจริงจัง จะสามารถนำพาการศึกษาของประเทศไปสู่เป้าหมายของกระทรวงศึกษาธิการได้อย่างเป็นรูปธรรม”

สิ่งสำคัญคือการดำเนินงานด้วยความถูกต้อง เน้นการขับเคลื่อนนโยบายด้วยความจริงจัง ต่อเนื่อง ชัดเจน มีเป้าหมายการทำงานร่วมกัน มีความไว้วางใจต่อบุคลากรทั้งภายในและภายนอกองค์กร มีการสื่อสารนโยบายหรือสิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการคาดหวัง เพื่อให้เข้าถึงปลายทางด้วยความกระชับ ชัดเจน โดยผู้บริหารต้องรู้และเข้าใจในงานอย่างถ่องแท้ เพื่อขับเคลื่อนงานบนฐานข้อมูลที่มีความถูกต้อง ครบถ้วน เป็นปัจจุบัน ร่วมกันป้องกันและปราบปรามการทุจริตของทุกส่วนราชการทุกระดับ

โดยเฉพาะในส่วนของผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ผตร.ศธ.) ถึงแม้จะตรวจฯ ได้เพียงหน่วยงานองค์กรหลัก แต่ก็ต้องติดตามงานอย่างเข้มข้นต่อเนื่อง และรายงานผลฯ เพื่อให้มีการขับเคลื่อนอย่างไม่หยุดนิ่ง ทั้ง 18 เขตตรวจราชการ ที่แตกต่างกันไปตามบริบทของพื้นที่ เมื่อผ่านการตรวจราชการจาก ผตร.ศธ. แล้ว ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง มีการยกระดับการศึกษาในทิศทางที่พัฒนาขึ้น เน้นการบูรณาการระหว่างส่วนกลางกับพื้นที่ เพื่อความเป็นเอกภาพในการทำงาน แก้ปัญหาที่อาจเกิดขึ้นด้วยความรวดเร็ว ทันเหตุการณ์ มีการนำผลการประเมินมาใช้ในการตัดสินใจในการปฏิบัติงาน จนเริ่มเห็นผลชัดเจนเป็นรูปธรรม เนื่องจากที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบรายงานผลการตรวจราชการและติดตามประเมินผลการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ รอบที่ 1 (1 ต.ค.67 – 31 มี.ค.68) ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568 ตามนโยบายลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา – นโยบายลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง

ลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา ศธ.

  • พัฒนา ต่อยอด และลดขั้นตอนวิธีการประเมินวิทยฐานะครูฯ มุ่งผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนเป็นสำคัญ ด้วยระบบประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (ระบบ DPA : Digital Performance Appraisal) มีครูฯ ยื่นคำขอสำเร็จผ่านระบบ DPA กว่า 1.1 แสนคน
  • ย้ายครูฯ คืนถิ่น (Teacher Rotation System: TRS) กลับภูมิลำเนาด้วยความโปร่งใส ไม่มีการทุจริตคอร์รัปชัน ครูฯ ลงทะเบียนกว่า 3.3 หมื่นคน
  • พัฒนาและต่อยอดการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างเป็นระบบและเห็นผลเป็นรูปธรรม ครูฯ ได้รับการแก้ไขปัญหาหนี้สำเร็จ มูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท
  • จัดหาอุปกรณ์การสอนและสวัสดิการให้เพียงพอ และเหมาะสม เพื่อส่งเสริมให้มีการจัดการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพผู้เรียนอย่างมีคุณภาพ เริ่มต้นให้นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย กว่า 6 แสนเครื่อง และให้ครูฯ กว่า 6 หมื่นเครื่อง
  • ยกเลิกครูเวรอย่างเป็นรูปธรรมและต่อเนื่อง “ชีวิตและความปลอดภัยของครูสำคัญกว่าทรัพย์สิน” ครูมีเวลาจัดการเรียนรู้อย่างมีคุณภาพ สถานศึกษาที่ได้รับการบริหารจัดการและมีมาตรการรองรับภายหลังการยกเลิกครูเวร กว่า 98%
  • จัดหานักการภารโรงเพื่อช่วยลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา และช่วยรักษาความปลอดภัย ดำเนินการจ้างระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2567 ถึง 30 กันยายน 2568 จำนวน 25,370 อัตรา
  • ปรับลดภาระงานที่ไม่จำเป็น หรือซ้ำซ้อน นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ อาทิ ระบบสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการโรงเรียน (School Management System) ระบบสารบรรณอิเล็กทรอนิกส์ (e-Office, AMSS++) ใช้แพลตฟอร์มการจัดการเรียนรู้ เช่น Google Workspace for Education, Microsoft Teams เพื่อช่วยในการจัดการแผนการสอน การสื่อสาร การส่งงาน และการประเมินผล
  • แก้ปัญหาการขาดแคลนครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยจัดสรรและบริหารอัตรากำลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง บรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการในตำแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามมาตรา 38 ค. (2) และจัดสรรคืนอัตราข้าราชการครูที่ว่างจากการเกษียณอายุราชการเมื่อสิ้นปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 และจัดสรรอัตราพนักงานราชการและครูอัตราจ้างเพิ่มเติมกรณีพิเศษ กว่า 1.7 หมื่น อัตรา

ลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง

  • เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere Anytime) เรียนฟรี มีงานทำ “ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง”จัดหาอุปกรณ์ฯ กว่า 6 แสนเครื่อง และมีแพลตฟอร์มการเรียนรู้ โดยผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต มีผู้เรียนที่สามารถเข้าถึงแพลตฟอร์มการเรียนรู้แบบไม่เสียค่าใช้จ่ายกว่า 7 ล้านคน
  • ช่วยเหลือเด็กและเยาวชนที่หลุดระบบการศึกษา (Zero Dropout) ให้มีโอกาสได้รับการศึกษาทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศัย จนพบตัวนำเด็กแล้วกว่า 8 แสนคน
  • จัดให้มีโรงเรียนคุณภาพอย่างน้อย 1 โรงเรียน ต่อ 1 อำเภอ เพื่อนำร่องการพัฒนาและสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐาน บุคลากร สื่อเทคโนโลยี และอุปกรณ์การจัดการเรียนการสอนตามความขาดแคลนและความจำเป็นและสอดคล้องกับบริบทของโรงเรียน เพื่อให้โรงเรียนมีความพร้อมทั้ง 1,808 แห่ง สามารถรองรับการใช้ทรัพยากรร่วมกันของโรงเรียนเครือข่ายได้
  • พัฒนาระบบการแนะแนวการเรียน (Coaching) และเป้าหมายชีวิตให้เป็นรูปธรรม ส่งเสริมการคิดอย่างสร้างสรรค์และมีเหตุผล โดยดำเนินการแนะแนวการศึกษาและอาชีพ ให้แก่ผู้เรียนในทุกระดับ จัดให้มีเทคโนโลยีสนับสนุนระบบการแนะแนวและระบบการดูแลช่วยเหลือผู้เรียนทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตอย่างเข้มแข็ง รวมทั้งการพัฒนาครูแนะแนว และครูทุกคนให้สามารถแนะแนวแก่ผู้เรียนให้มีความพร้อมสู่เป้าหมายชีวิตของทุกคนตามศักยภาพ ความถนัดและความสนใจ
  • พัฒนาระบบการศึกษาที่ยืดหยุ่น ตอบโจทย์ศักยภาพผู้เรียน โดยมีระบบวัดผลรับรองมาตรฐานวิชาชีพ (Skill Certificate) ผู้เรียนสามารถเรียนเพิ่มเพื่อรับประกาศนียบัตรในการประกอบอาชีพและมีระบบวัดผลเทียบระดับการศึกษาการประเมินผลการศึกษา ผ่านธนาคารหน่วยกิต (Credit bank) และการเตรียมความพร้อมเพื่อการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (PISA)
  • พัฒนาทักษะที่ใช้ประโยชน์ได้ในชีวิตจริงของผู้เรียนมีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำ (Learn to Earn) เป็นการพัฒนาทักษะอาชีพตามศักยภาพของผู้เรียน และการจัดการศึกษาเรียนร่วมหลักสูตรอาชีวศึกษาและมัธยมศึกษาตอนปลาย (ทวิศึกษา)
  • จัดให้มีอาหารสำหรับนักเรียน เพื่อแก้ปัญหาภาวะทุพโภชนาการ ส่งเสริมให้สถานศึกษาดำเนินการจัดหาอาหารตามหลักโภชนาการให้กับนักเรียน ใช้ระบบการจัดการอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียน (Thai School Lunch) เป็นแนวทางในการจัดทำเมนูอาหาร คำนวณคุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมตามวัย ได้คุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน และจัดอาหารกลางวันสำหรับโรงเรียนขยายโอกาสกว่า 7 พันแห่ง
  • ส่งเสริมให้มีกระบวนการสร้างความปลอดภัยให้กับผู้เรียน ด้วยมาตรการ 3 ป. ป้องกัน ปลูกฝัง ปราบปราม สถานศึกษาทุกแห่งต้องมีแผนเผชิญเหตุ สร้างความรู้ความเข้าใจ จัดอบรมให้กับครูและบุคลากรเพื่อให้ทุกคนเข้าใจบทบาทและหน้าที่ของตนเองในสถานการณ์ฉุกเฉิน ให้ความรู้กับนักเรียนเกี่ยวกับขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน และต้องมีการฝึกซ้อมที่สม่ำเสมอ ประสานงานและการร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก อาทิ ตำรวจ หน่วยดับเพลิงและสถานพยาบาล เพื่อให้สามารถรับมือกับเหตุการณ์ฉุกเฉินได้ทันท่วงที และการสร้างความร่วมมือกับชุมชนเพื่อพัฒนาและปรับปรุงแผนเผชิญเหตุที่เหมาะสมและสามารถดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • สร้างโอกาสให้คนทุกช่วงวัย เข้าถึงการศึกษาและการฝึกอบรมอย่างเท่าเทียม และมีคุณภาพตั้งแต่การศึกษาปฐมวัยจนถึงการศึกษาตลอดชีวิต พร้อมการพัฒนาทักษะ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี การอ่าน การคิดวิเคราะห์ อย่างมีเหตุผล และทักษะอาชีพที่จำเป็นแห่งอนาคต (Future Skill) และการเตรียมความพร้อมเพื่อการประเมินสมรรถนะนักเรียนมาตรฐานสากล (PISA)
  • นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาช่วยในการจัดการเรียนรู้การพัฒนาทักษะดิจิทัล และการพัฒนาทักษะภาษาต่างประเทศ เพื่อให้การเรียนการสอนมีความทันสมัย เข้าถึงง่าย และตอบสนองต่อความแตกต่างของผู้เรียนในแต่ละบริบท โดยการใช้เทคโนโลยี AI ในกระบวนการเรียนการสอน ซึ่งครูสามารถนำ Generative AI มาใช้ในการออกแบบแผนการสอนที่ตรงตามศักยภาพและความต้องการของนักเรียนแต่ละคน
  • ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความสุข และนโยบาย “สุขาดี มีความสุข” พัฒนาสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้อย่างมีความสุข รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมความสุขและศักยภาพของผู้เรียนที่หลากหลาย เช่น กีฬา ดนตรี ศิลปะ และชมรมต่าง ๆ ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือให้ผู้เรียนได้ค้นพบความสามารถของตนเองและส่งเสริมการพัฒนาตนเองในระยะยาว และมีสถานศึกษาที่ได้ดำเนินการตามนโยบาย “สุขาดี มีความสุข” กว่า 6 หมื่นแห่ง

ทั้งนี้ แนวทางการตรวจราชการฯ ของ ศธ. เป็นมิติของการที่จะช่วยเพิ่มคุณภาพการศึกษา พร้อมขยายเครือข่ายความร่วมมือกับหน่วยงานต่าง ๆ สามารถระบุจุดแข็ง จุดอ่อนของระบบการศึกษา เพื่อให้สามารถนำมาพัฒนาและปรับปรุงคุณภาพให้ดีมากยิ่งขึ้น บุคลากรสามารถติดตามการใช้ทรัพยากรของสถานศึกษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังกระตุ้นให้สถานศึกษาและหน่วยงานต้องมีความรับผิดชอบต่อผลการดำเนินงาน และสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้เรียนและผู้ปกครองได้ ทำให้เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ครู ผู้ปกครอง และชุมชน การดำเนินการตรวจราชการและติดตามประเมินผล ล้วนแต่มีความสำคัญต่อการบริหารงานของกระทรวงศึกษาธิการทั้งสิ้น

“การตรวจราชการและติดตามประเมินผล ทั้งนโยบายการลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา และนโยบายลดภาระนักเรียนและผู้ปกครอง ทำให้ทราบถึงผลการดำเนินงาน ปัญหาและอุปสรรค ข้อเสนอแนะ ซึ่ง รมว.ศธ. จะนำมาเป็นฐานข้อมูลในการกำหนดนโยบายที่เป็นรูปธรรม ทั้งการจัดสรรงบประมาณที่เหมาะสมตามสภาพ และบริบทของหน่วยงานหรือสถานศึกษา การพัฒนาแพลตฟอร์มที่เหมาะสมกับการใช้งาน รวมถึงการส่งเสริมและสนับสนุนในด้านต่าง ๆ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน สิ่งเหล่านี้จะสำเร็จได้ก็ต้องได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ ผู้บริหาร และบุคลากรทุกคนในสังกัด ศธ. ทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน จับมือกันไว้ เดินหน้าไปพร้อมกัน เพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงให้กับการศึกษาของประเทศ”

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว
ธนภัทร จันทร์ห้างหว้า / ภาพ

The post “เพิ่มพูน” เชื่อมั่น ผตร.ศธ. เป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง เชื่อมโยงส่วนกลาง ยกระดับคุณภาพการศึกษาเชิงพื้นที่อย่างเป็นรูปธรรม appeared first on กระทรวงศึกษาธิการ.

Share This Article

Related Post