รมว.ศธ. “เพิ่มพูน” เป็นประธานการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 16/2568 เชิญชวนผู้ที่สนใจร่วมงาน “มหกรรมการศึกษาไทย – จีน” ณ เซ็นทรัลเวิลด์ ไลฟ์ ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ พร้อมเน้นย้ำบุคลากรบริหารจัดการเบิกจ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ วางแนวทางยกระดับคุณภาพการเรียนรู้สู่มาตรฐานสากล ภายใต้กรอบแนวคิด “Education 2030 สู่ Education 2040” เพื่อเป้าหมายหลักในการเสริมสร้าง “ความเป็นอยู่ที่ดี” ของครู-ผู้เรียน เผยบทวิเคราะห์คุณภาพการศึกษา นำโรงเรียนที่มีศักยภาพสูงมาเป็นโรงเรียนคู่พัฒนา (Partnership Schools) ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงทางวิชาการ ถ่ายทอดกระบวนการเรียนรู้ กลยุทธ์การบริหารจัดการ ให้กับโรงเรียนที่ยังต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติม เพื่อจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างครูในบริบทจริง และช่วยสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกัน

21 พฤษภาคม 2568 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 16/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ และผ่านระบบ e-Meeting ภายหลังการประชุม รมว.ศธ. พร้อมด้วย รมช.ศธ. และผู้บริหารระดับสูง แถลงข่าว ณ ห้องแถลงข่าว

รมว.ศธ. กล่าวว่า ขอเน้นย้ำเรื่องงบประมาณฯ ผู้ที่เกี่ยวข้องต้องมีความเข้าใจเชิงระบบ มีการประสานการทำงานร่วมกับสำนักงานที่ทำหน้าที่เกี่ยวกับการเงินและงบประมาณ เพื่อสร้างความเข้าใจและสามารถดำเนินการเบิกจ่ายงบประมาณได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ

เปรียบกระบวนการเบิกจ่ายงบลงทุนเสมือน “ทฤษฎีของเคนส์ (Keynesian Theory)” ที่ชี้ให้เห็นถึงบทบาทสำคัญของการใช้จ่ายภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งการลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะในด้านการศึกษา หากมีการบริหารจัดการและเบิกจ่ายงบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ จะส่งผลดีต่อระบบเศรษฐกิจในภาพรวม

ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำ “ไทม์ไลน์การปฏิบัติการ” สำหรับการชี้แจงรายละเอียดงบประมาณในแต่ละโครงการ เพื่อให้สามารถติดตาม ตรวจสอบ และเร่งรัดการดำเนินงานได้ทันตามกรอบเวลาที่กำหนด และเตรียมการเพื่อสนับสนุนข้อมูลประกอบการชี้แจงร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ 2569 วาระที่ 1 สภาผู้แทนราษฎร ของกระทรวงศึกษาธิการ ระหว่างวันที่ 28 – 31 พฤษภาคม 2568

สรุปสาระสำคัญจากการประชุม ดังนี้

มหกรรมการศึกษาไทย – จีน

รมว ศธ. กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ ผนึกกำลังภาคีเครือข่าย เตรียมการจัด “มหกรรมการศึกษาไทย – จีน” ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2568 ณ เซ็นทรัลเวิลด์ ไลฟ์ ชั้น 8 ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ กรุงเทพฯ เพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-จีน โดยมี พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รมว.ศธ. เป็นประธานฯ พร้อมด้วย นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตวิสามัญผู้มีอำนาจเต็มแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย รวมถึงผู้แทนจากองค์กรชั้นนำทั้งสองประเทศ ร่วมพิธีฯ

ภายในงานแบ่งเป็น 2 ส่วนคือส่วนของการแสดงนิทรรศการภาษาและวัฒนธรรมไทย-จีน การแสดงจากนักเรียน/นักศึกษา และส่วนของการเสวนาวิชาการแบ่งเป็น 3 ช่วง เกี่ยวกับทิศทางการศึกษาและการเรียนการสอนภาษาจีน รวมถึงการมอบเกียรติบัตรแก่ผู้ทำคุณประโยชน์ด้านการศึกษาจีน โดยมีเป้าหมายผู้เข้าร่วมงานกว่า 1,500 คน อาทิ นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ บุคลากรทางการศึกษา ประชาชนผู้สนใจในภาษาและวัฒนธรรม รวมถึงหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน นักวิชาการ และผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาไทย – จีน

โดยมีเป้าหมายเพื่อร่วมกันวางรากฐานในการพัฒนาเยาวชนไทยให้มีศักยภาพและความพร้อมสู่เวทีโลก กระทรวงศึกษาธิการหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้รับความร่วมมือจากทุกฝ่าย เพื่อร่วมกันผลักดันการศึกษาให้เป็นพลังสำคัญในการพัฒนาความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศต่อไป

ทิศทางการจัดการศึกษาไทยในอนาคต

รมว.ศธ. กล่าวว่า การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้สู่มาตรฐานสากล ภายใต้กรอบแนวคิด “Education 2030 สู่ Education 2040” ที่มีเป้าหมายหลักเพื่อเสริมสร้าง “ความเป็นอยู่ที่ดี” ของทั้งผู้เรียนและครู โดยแนวทาง Education 2030 ให้ความสำคัญกับการพัฒนาผู้เรียนในทุกมิติ ผ่านสมรรถนะหลัก 4 ด้าน ได้แก่ ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงตนเองและสังคม การสร้างคุณค่าใหม่ การจัดการกับความขัดแย้ง และความรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมทั้งส่งเสริมกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นการลงมือทำ การสะท้อนคิด และการคาดการณ์อนาคต โดยมีการมีส่วนร่วมจากนักเรียน ครู ผู้ปกครอง และชุมชน เพื่อร่วมกันผลักดันไปสู่เป้าหมายร่วมกัน

สำหรับแนวทางของ Education 2040 ได้ต่อยอดจากเป้าหมายเดิม โดยหันมาให้ความสำคัญกับครูมากยิ่งขึ้น ด้วยการกำหนดองค์ประกอบหลัก 3 ด้านของความเป็นครู ได้แก่ ความสามารถของครูในด้านความรู้ ทักษะ สมรรถนะ และค่านิยม, สุขภาวะของครูในด้านร่างกาย อารมณ์-สังคม และความรู้ทางวิชาชีพ รวมถึงบทบาทของครูเพื่อสนับสนุนการเรียนรู้ของผู้เรียนให้สอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของโลก

การขับเคลื่อนนโยบาย Education 2030 และ 2040 ถูกดำเนินการผ่าน 4 มิติหลัก ได้แก่ การออกแบบหลักสูตรใหม่ที่มีความยืดหยุ่น ทันสมัย และตอบโจทย์บริบทในท้องถิ่น พร้อมรองรับการเรียนรู้เชิงรุก (Active Learning) และเชื่อมโยงกับมาตรฐานอาชีพ, การปรับเปลี่ยนกระบวนการเรียนรู้ให้มีความหลากหลาย โดยใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือ AI มาเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียน, การประเมินผลที่หลากหลายมิติเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้อย่างยืดหยุ่น

จากการวิเคราะห์เบื้องต้นพบว่า นโยบายและแนวทางของประเทศไทยมีความสอดคล้องกับข้อเสนอแนะของ OECD ซึ่งเริ่มกลับมาให้ความสำคัญกับครูมากขึ้น เนื่องจากการพัฒนาครูจะนำไปสู่การยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ของผู้เรียนอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่ประเทศไทยต้องให้ความสำคัญเพิ่มเติม ได้แก่ การกำหนดเป้าหมายร่วมกันของหน่วยงานต่าง ๆ ให้ชัดเจน การพัฒนาครูในเชิงระบบอย่างเร่งด่วน การเชื่อมโยงหลักสูตรและรูปแบบการเรียนรู้ให้ครอบคลุมทั้งในระบบ นอกระบบ และการเรียนรู้ตามอัธยาศัย

การขับเคลื่อนการยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากล

รมว.ศธ. กล่าวว่า ในมิติของการวัดและการประเมินผล ขอให้นำผลการทดสอบมาเป็นสิ่งที่สะท้อนผลการดำเนินงานเพื่อ “พัฒนาระบบการเรียนรู้ที่เน้นสมรรถนะและการรู้เท่าทัน” ผ่านการใช้ข้อมูลจากผลการทดสอบ PISA และเครื่องมือวัดผลต่าง ๆ เป็นฐานในการวางแผนและปรับปรุงคุณภาพอย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะในด้านการพัฒนาครู พัฒนาข้อสอบ พัฒนาผู้เรียนควบคู่กันไปได้

สำหรับดำเนินงานขับเคลื่อนการพัฒนาการเรียนรู้และการประเมินสมรรถนะผู้เรียนในเชิงคุณภาพการ ในการใช้ชุดพัฒนาความฉลาดรู้ การใช้ข้อสอบในระบบ Computer-Based Test (CBT) และการสร้างและพัฒนาข้อสอบวัดสมรรถนะความฉลาดรู้ โดยสามารถสรุปผลสะท้อนเชิงคุณภาพที่สำคัญ อาทิ การใช้ชุดพัฒนาความฉลาดรู้

กิจกรรมเหล่านี้ช่วยให้นักเรียนได้ฝึกฝนการคิดวิเคราะห์ผ่านสถานการณ์จริง ทำให้สามารถประยุกต์ใช้ความรู้ในชีวิตประจำวันได้ดีขึ้น ผลที่เกิดขึ้นในเชิงคุณภาพคือ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามีเครื่องมือที่ชัดเจนในการขับเคลื่อนนโยบาย สามารถรวบรวมข้อมูลพื้นฐานและสร้างเครือข่ายทางวิชาการร่วมกับโรงเรียนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โรงเรียนเองก็เริ่มมีทิศทางการจัดการเรียนรู้ที่เน้นสมรรถนะของผู้เรียน มีการปรับหลักสูตรให้ชัดเจนและตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง ครูผู้สอนมีความเข้าใจแนวคิด PISA และสามารถออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้ใหม่ ๆ ได้อย่างสอดคล้อง นักเรียนได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ที่ท้าทายและมีความหมายมากขึ้น พร้อมกับเกิดทัศนคติที่ดีต่อการเรียน

ในขณะเดียวกัน การประเมินผลในระบบดิจิทัล โดยเฉพาะ การใช้ข้อสอบในระบบ Computer-Based Test (CBT) ก็เป็นอีกหนึ่งแนวทางที่ได้รับการส่งเสริมอย่างจริงจัง โดยมีการฝึกอบรมครูให้สามารถออกแบบข้อสอบและสอนนักเรียนให้มีทักษะด้านเทคโนโลยีควบคู่ไปกับสาระวิชา ผลที่ตามมาคือสำนักงานเขตพื้นที่สามารถประสานงานเพื่อจัดหาอุปกรณ์และพัฒนาระบบอินเทอร์เน็ตให้กับโรงเรียน โรงเรียนสามารถปรับปรุงระบบโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีได้อย่างครอบคลุม และช่วยเหลือนักเรียนที่ยังขาดโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยี ครูผู้สอนเองมีการปรับแผนการเรียนการสอนโดยบูรณาการทักษะคอมพิวเตอร์ มีการออกแบบกิจกรรมและข้อสอบบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ซึ่งช่วยให้นักเรียนได้รับประสบการณ์การเรียนรู้ในรูปแบบใหม่ และเตรียมความพร้อมต่อการเรียนรู้ในอนาคต

อีกหนึ่งประเด็นสำคัญคือ การสร้างและพัฒนาข้อสอบวัดสมรรถนะความฉลาดรู้ โดยเปิดโอกาสให้ครูได้มีส่วนร่วมในการออกแบบและสร้างข้อสอบที่ตรงกับบริบทของนักเรียนในแต่ละพื้นที่ ซึ่งมีผู้เข้าร่วมพัฒนาข้อสอบมากถึง 437,585 คน ผลที่เกิดขึ้นในเชิงคุณภาพ คือ เขตพื้นที่มีคลังข้อสอบที่สามารถนำไปใช้ในบริบทของตนเอง พร้อมทั้งสามารถประเมินจุดแข็ง – จุดอ่อนของครู เพื่อใช้ในการพัฒนาวิชาชีพอย่างตรงจุด โรงเรียนเองก็สามารถแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างครูได้ดีขึ้น เกิดการพัฒนาทางวิชาชีพอย่างต่อเนื่อง มีการปรับระบบการประเมินผลโดยเน้นไปที่สมรรถนะมากขึ้น ครูมีความเข้าใจและภาคภูมิใจในการออกแบบข้อสอบ และนำไปสู่การปรับการสอนให้สอดคล้องกับเป้าหมายของผู้เรียน นักเรียนได้รับการประเมินที่หลากหลายและเหมาะสมกับศักยภาพของตน ทำให้สามารถพัฒนาทักษะเฉพาะด้านได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“การขับเคลื่อนในเชิงคุณภาพจะนำไปสู่การปรับเปลี่ยนแนวคิดของทั้งครู นักเรียน โรงเรียน และหน่วยงานเขตพื้นที่ ให้ก้าวทันต่อการเปลี่ยนแปลง ที่จะนำไปสู่การสร้างระบบการศึกษาไทยที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญและตอบสนองต่อทักษะที่จำเป็นในอนาคต“

การวิเคราะห์ผลประเมินคุณภาพภายนอกของสถานศึกษา

รมว.ศธ. กล่าวว่า บทวิเคราะห์คุณภาพการศึกษา ถือเป็นผลสะท้อนสำคัญของคุณภาพการจัดการศึกษาในระดับพื้นที่และระดับประเทศ ซึ่งช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถวางแนวทางการพัฒนาได้อย่างตรงจุด หนึ่งในแนวทางสำคัญคือการนำโรงเรียนที่มีคุณภาพดีมาเป็นโรงเรียนคู่พัฒนา (Partnership Schools) โดยมีเป้าหมายในการส่งเสริมให้โรงเรียนที่มีศักยภาพสูง ทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงทางวิชาการ ถ่ายทอดกระบวนการเรียนรู้ และแนวทางการพัฒนาครูและผู้เรียน ให้กับโรงเรียนที่ยังต้องการการสนับสนุนเพิ่มเติม เพื่อจะช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนระหว่างครูในบริบทจริง และช่วยสร้างพื้นที่แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ร่วมกัน

การประชุมระดับโลกด้านการศึกษาดิจิทัล ณ สาธารณรัฐประชาชนจีน

รมว.ศธ. กล่าวว่า จากการเดินทางเข้าร่วมการประชุมระดับโลกด้านการศึกษาดิจิทัล ประจำปี 2568 (2025 World Digital Education Conference) เมื่อวันที่ 14 – 16 พฤษภาคม 2568 ณ เมืองอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย โดยมีแนวทางเพื่อสนับสนุนความร่วมมือด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี AI รวมทั้งการแลกเปลี่ยนและพัฒนานักวิจัยได้มีแนวทางความร่วมมือทางการศึกษาระหว่างไทย – จีน รวมทั่งถึงมาตราการความร่วมมือ การแบ่งปันทรัพยากร ทุนการศึกษาและการแลกเปลี่ยนทรัพยากร รวมทั้งการพัฒนาหลักสูตร AI ในการศึกษา เพื่อพลิกโฉมการศึกษาในยุคดิจิทัลและเตรียมความพร้อมให้กับนักเรียนในภูมิภาคอาเซียน

การสร้างกลไกความร่วมมือด้านดิจิทัลระหว่างสองประเทศ ส่งเสริมการลงทุนในสาขาดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาบุคลากรให้มีทักษะใหม่ อาทิ Big Data และ AI ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการศึกษาดิจิทัลระหว่างประเทศไทย จีน และประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อเตรียมความพร้อมให้กับเยาวชนในยุคดิจิทัลและสร้างความเข้มแข็งให้กับภูมิภาคในด้านการศึกษาและเทคโนโลยี

“ความสำคัญของการระดมสมองและการมีส่วนร่วมในการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการศึกษา ต้องเป็นความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อพร้อมสื่อสารไปยังผู้บริหารทุกระดับให้ตระหนักถึงการพัฒนาทักษะหลักรูปแบบ “3+1” คือ ทักษะภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และภาษาจีน เป็นฐานสำคัญ ควบคู่กับ ทักษะดิจิทัล ซึ่งจะเป็นเครื่องมือในการยกระดับศักยภาพของผู้เรียน ซึ่งทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า AI จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสนับสนุนการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่การใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องมาพร้อมกับ กระบวนการพัฒนาทักษะของครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างเหมาะสมและเกิดประโยชน์สูงสุด AI จะเป็นผู้ช่วยที่ดีได้ ก็ต่อเมื่อผู้ใช้ หรือ “คน” มีทักษะที่ดีเช่นกัน เป็นหลักสำคัญที่ต้องดำเนินการควบคู่ไปกับการพัฒนานโยบาย เมื่อนโยบายที่ดีได้รับการขับเคลื่อนสู่การปฏิบัติก็จะส่งผลโดยตรงให้ประเทศไทยมีความพร้อมยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างเป็นรูปธรรมในปี 2025 และจะเป็นรากฐานสำคัญสำหรับการก้าวสู่ Education 2030 และ Education 2040 ที่เน้นการพัฒนาคนอย่างรอบด้านในยุคดิจิทัลอย่างยั่งยืน”

อานนท์ วิชานนท์ / ข่าว-กราฟิก
อินทิรา บัวลอย / ภาพ
ศศิวัฒน์ แป้นคุ้มญาติ / วีดิทัศน์

The post ศธ. เร่งยกระดับคุณภาพการศึกษาต่อเนื่อง “เพิ่มพูน” ผนึกกำลังไทย-จีน พัฒนา AI ดันทักษะดิจิทัล ปูทางเยาวชนสู่เวทีโลก appeared first on กระทรวงศึกษาธิการ.

Share This Article

Related Post