การเปิดภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2568 กำลังจะเริ่มขึ้น ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของระบบการศึกษาไทยกระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้การนำของ พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และ นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้วางหมากยุทธศาสตร์อย่างรอบด้าน ดำเนินนโยบายหลักคือ “เรียนดี มีความสุข” ที่จะ “เปลี่ยนโรงเรียนให้เป็นที่เรียนรู้ และเปลี่ยนห้องเรียนให้เป็นที่มีความสุข” ด้วยนโยบายที่ช่วยสร้างโอกาสให้เยาวชน ส่งเสริมคุณภาพครู และเข้าใจผู้ปกครองในทุกมิติ โดยมุ่งมั่นให้การศึกษากลายเป็นเรื่องที่ “เป็นไปได้” สำหรับทุกคน

การเปลี่ยนแปลงเริ่มต้นจาก “ครู” ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของระบบการศึกษา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ย้ำชัดว่า ครูต้องไม่เหนื่อยล้ากับภาระงานที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสอนจึงได้ดำเนินการ “ปรับระบบการประเมินวิทยฐานะ” อย่างต่อเนื่องด้วย ระบบประเมินวิทยฐานะดิจิทัล (DPA) เพื่อให้เห็นผลสัมฤทธิ์ของการดำเนินงานการลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก เพื่อให้ครูสามารถใช้เวลาทุ่มเทกับการจัดการเรียนรู้ได้อย่างเต็มที่ พร้อมกับนโยบายสำคัญอย่าง “ครูคืนถิ่น” ด้วย ระบบจับคู่ TMS และ ระบบย้าย TRS ช่วยให้การย้ายครูกลับภูมิลำเนาเป็นเรื่องง่ายโปร่งใส รวดเร็ว และยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบให้มีมาตรฐานต่อไป

ศธ. ยังเร่งผลักดัน “การแก้ไขปัญหาหนี้สินครู” อย่างเป็นระบบด้วยการร่วมมือกับสถาบันการเงินและสหกรณ์ออมทรัพย์ เพื่อให้ครูหลุดพ้นจากภาระหนี้ขณะเดียวกันก็ได้ “จัดหาอุปกรณ์การสอนที่จำเป็น” และ “ปรับสวัสดิการให้เหมาะสม” ให้กับครูและโรงเรียน เพื่อเสริมแรงจูงใจให้ครูทำงานอย่างมีคุณภาพ เพื่อให้ครูได้มุ่งเน้นที่การสอนอย่างแท้จริง โดยที่ไม่ต้องปฏิบัติหน้าที่ “ครูเวร” ยืนยันว่าความปลอดภัยของชีวิตครูสำคัญกว่าทรัพย์สิน โดยทุกโรงเรียนจะมี “นักการภารโรง” เป็นผู้ดูแลความเรียบร้อย และความปลอดภัยของโรงเรียน เพื่อให้ทุกคน ได้เรียนรู้และทำงานอย่างปลอดภัย “การลดงานเอกสารที่ไม่จำเป็นหรือซ้ำซ้อน” ซึ่งเป็นปัญหาสะสมมานานหลายปี โครงการกิจกรรมหรือภารกิจที่ไม่จำเป็นต้อง “ลด ละ เลิก” รวมถึงการจ้างครูผู้ช่วยกรณีพิเศษ เพื่อบรรเทาปัญหาขาดแคลนบุคลากรในโรงเรียนห่างไกล เพื่อยืนยันว่าในปีการศึกษาใหม่นี้โรงเรียนจะมีครูผู้สอนอย่างเพียงพอ

ในอีกด้านหนึ่ง ศธ. ยังให้ความสำคัญกับ “นักเรียนและผู้ปกครอง” ด้วยความเข้าใจว่า ค่าใช้จ่ายภาระทางเศรษฐกิจและความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาคืออุปสรรคสำคัญที่ขวางกั้นโอกาสของเด็กไทย จึงพัฒนา “ระบบการเรียนรู้แบบ Any where Anytime” เปิดโอกาสให้เด็กไทยทุกคนสามารถเรียนฟรีผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลได้ทุกที่ทุกเวลา เปิดให้มีการสอบเทียบวัดระดับความรู้การศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้บุคคลที่มีความรู้และคุณลักษณะอันพึงประสงค์สามารถได้รับวุฒิการศึกษาได้ โดยจัดสอบในรูปแบบดิจิทัลและยังมีการปรับปรุงเครื่องแบบลูกเสือให้เหมาะสมกับบริบทแต่ละพื้นที่ และกิจการลูกเสือในปัจจุบัน สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการลดต้นทุนการศึกษาอย่างแท้จริง

พร้อมกันนี้ ยังเดินหน้า “โครงการ 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ” เพื่อกระจายโอกาสให้เด็กในพื้นที่ห่างไกลได้รับการศึกษาที่มีมาตรฐาน ไม่ต้องละทิ้งบ้านเพื่อแสวงหาโรงเรียนในเมืองใหญ่ พร้อมกับ “การติดตามเด็กและเยาวชนที่หลุดออกจากระบบการศึกษาภาคบังคับ” ช่วงอายุ 6-15 ปี ให้กลับเข้าสู่ระบบการศึกษา และยืนยันว่าปีการศึกษาใหม่นี้ เราจะ “พาน้องกลับมาเรียน และนำการเรียนไปให้น้อง” เด็กทุกคนในประเทศต้องมีที่เรียนและต้องเรียนในสถานที่ปลอดภัยไม่ว่าจะเป็นปลอดจากภัยบุหรี่บุหรี่ไฟฟ้า สารเสพติดทุกชนิดและรวมถึงเหตุอุบัติภัยต่างๆ

ที่สำคัญ ศธ. ยังพัฒนาระบบ “แนะแนวชีวิตและการเรียนรู้ (Coaching)” ให้เด็กสามารถมองเห็นเป้าหมายของตนเองตั้งแต่ระดับมัธยม วางเส้นทางชีวิตอย่างมีทิศทางเพื่อส่งเสริมการศึกษาคู่กับอาชีพพร้อมได้เร่งพัฒนาระบบ “ประกาศนียบัตรทักษะอาชีพ (Skill Certificate)” ที่รับรองความรู้ความสามารถในสาขาอาชีพต่างๆให้นักเรียนสามารถนำไปประกอบอาชีพได้จริง รวมทั้งพัฒนาระบบ “การสอบเทียบ” วัดระดับความรู้การศึกษาขั้นพื้นฐานในรูปแบบดิจิทัล เพื่อให้บุคคลที่มีความรู้และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ สามารถได้รับวุฒิการศึกษาได้โดยไม่ต้องเสียเวลาอยู่ในระบบแบบเดิมประหยัดเวลาและลดภาระค่าใช้จ่าย

นอกจากนี้ นโยบาย “Learn to Earn-เรียนไป มีรายได้ไป” ก็เร่งขับเคลื่อนอย่างต่อเนื่องในปีนี้ นักเรียนจะมีโอกาสเรียนรู้ควบคู่การสร้างรายได้ เมื่อจบการศึกษามีทักษะ พร้อมทำงานได้ทันที โดยเฉพาะกลุ่มอาชีวศึกษา รวมถึงเรื่องพื้นฐานที่ดูเล็กน้อยแต่มีผลต่อการเรียนรู้ อาทิ อาหารกลางวัน ได้รับการดูแลด้วยโครงการ “อาหารกลางวันในโรงเรียนขยายโอกาส” ที่รับรองว่าเด็กจะไม่เรียนหนังสือด้วยท้องว่าง รวมถึงโครงการ “สุขาดี มีความสุข” ที่มุ่งปรับปรุงสุขาภิบาลในโรงเรียนให้สะอาดและปลอดภัย ทั้งยังเดินหน้านโยบาย “การศึกษาเท่าเทียม” เพื่อให้เด็กทุกกลุ่มทุกพื้นที่ไม่ว่าจะด้อยพลาดขาดโอกาสได้รับการศึกษาที่ไม่แตกต่างจากเด็กในเมือง

ปิดท้ายด้วยการสนับสนุนนโยบายการศึกษาก้าวทันโลกยุคดิจิทัลนำ “ปัญญาประดิษฐ์ (AI)” มาใช้ในการจัดการเรียนรู้ ให้เด็กแต่ละคนได้เรียนในวิธีที่เหมาะสมกับศักยภาพของตนเองอย่างแท้จริง เพื่อพัฒนาทักษะผู้เรียนให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยเฉพาะด้าน ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามการทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน (O-NET) และผลการประเมิน PISA ที่สะท้อนศักยภาพของนักเรียนไทยในเวทีโลก และยังมุ่งเน้นการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานต่างๆ พร้อมการพัฒนาเครือข่ายความร่วมมือระดับนานาชาติและในระดับชาติทั้งด้านหลักสูตรการเรียนการสอนภาษาและวัฒนธรรมนับจากนี้ไปนักเรียนไทยในระดับมัธยมศึกษา ระดับอาชีวศึกษา รวมถึงนิสิต/นักศึกษา จากทุกอำเภอทั่วประเทศรวมถึง 50 เขตใน กทม.ได้มีโอกาสไปศึกษาต่อในต่างประเทศ โดยรัฐบาลส่งเสริม โครงการทุนการศึกษาเพื่อขยายโอกาสและพัฒนาประเทศ (ODOS) เพื่อส่งเสริมการเติบโตและพัฒนาทักษะวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี (สาขาวิชา STEM) เพื่อพัฒนาศักยภาพของเยาวชนให้สามารถนำความรู้และประสบการณ์กลับมาพัฒนาชาติอย่างยั่งยืน

“ปีการศึกษา 2568 จึงไม่ใช่เพียงแค่การเปิดเทอม แต่คือการเปิดอนาคตใหม่ของการศึกษาไทย ภายใต้ความเชื่อมั่นว่า หากเราสร้างระบบที่เข้าใจชีวิตเข้าใจความฝันและเข้าใจความเป็นมนุษย์ของทุกคนในระบบการศึกษาได้ จะทำให้ทุกคนเกิดความสุข เมื่อมี “ความสุข” ย่อมส่งผลให้การ “เรียนดี” การปฏิบัติงานสำเร็จตามที่หวังนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน…และทั้งหมดนี้ คือความตั้งใจอย่างแท้จริงของกระทรวงศึกษาธิการภายใต้การนำของ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ ที่มุ่งมั่นจะทำให้คำว่า “เรียนดีมีความสุข” กลายเป็นจริงในทุกห้องเรียนของประเทศไทย”

หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2568
อานนท์ วิชานนท์ / สกู๊ป

The post สกู๊ปพิเศษ ศธ. 360 องศา : เปิดเทอมใหม่ 2568 “เรียนดี มีความสุข” สร้างโอกาสให้เยาวชน ส่งเสริมคุณภาพครู สนับสนุนการศึกษาไทย ให้ก้าวทันโลกดิจิทัล appeared first on กระทรวงศึกษาธิการ.

Share This Article

Related Post