รมว.ศธ. “เพิ่มพูน” เป็นประธานการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 17/2568 ติดตามการทำงานในทุกมิติ ย้ำให้ทุกหน่วยงาน บูรณาการการทำงาน วางมาตรการ กำกับดูแล ให้สถานศึกษามีความปลอดภัยในทุกมิติ เฝ้าระวังป้องกันภัยจากเหตุความรุนแรง ยาเสพติด บุหรี่ไฟฟ้า ภัยจากธรรมชาติ มีความความโปร่งใสในการบริหารงาน รวมทั้งดูแล “คุณภาพ” ด้านโภชนาการ อาหารกลางวัน และนมโรงเรียน 

28 พฤษภาคม 2568 / พลตำรวจเอก เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำกระทรวงศึกษาธิการและโฆษกกระทรวงศึกษาธิการ ร่วมแถลงข่าวผลการประชุมประสานภารกิจ ครั้งที่ 17/2568 ณ ห้องประชุมราชวัลลภ และผ่านระบบ e-Meeting

รมว.ศธ. กล่าวว่า ที่ประชุมขอให้ทุกภาคส่วนเร่งติดตามการทำงานในทุกมิติ การเบิกจ่ายงบประมาณให้เป็นไปตามแผนการปฏิบัติการ การเตรียมความพร้อมในช่วงเปิดเทอม เน้นพัฒนาสถานศึกษาสีขาว ขับเคลื่อนแก้ปัญหาเด็กหลุดออกนอกระบบให้กลายเป็นศูนย์ (Thailand Zero Dropout) ดูแลโภชนาการ อาหารกลางวัน และนมโรงเรียน สรุปดังนี้

สรุปผลการประชุมคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้มอบหมายผู้แทนกระทรวงเข้าร่วมการประชุมคณะกรรมการ ป.ป.ส. เมื่อวันที่ 27 พ.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งที่ประชุมให้มีการขับเคลื่อนการทำงานแบบบูรณาการร่วมกัน ระหว่างผู้ว่าราชการจังหวัด คู่ขนานกับ ผกก.จังหวัด, นายอำเภอ คู่ขนานกับ ผกก.อำเภอ และสถานศึกษาบูรณาการกับทุกหน่วยงาน รวมทั้งกำหนดแนวทางการทำงาน คือ ฝ่ายปกครอง : ให้มีมาตรการจัดทำให้เป็นพื้นที่จังหวัดสีขาว (ไม่มีผู้ค้ายาเสพติด), ฝ่ายการศึกษา : ให้เน้นการจัดการเรียนการสอนโดยเน้นตั้งแต่ระดับปฐมวัย และให้เป็น KPI ในการปฏิบัติงานของผู้บริหารทุกระดับด้วย

โดย รมว.ศธ. มอบ สพฐ. เป็นหลักในการดูแลนักเรียนเรื่องนี้ และ สป. ร่วมดำเนินการ เรื่องยาเสพติด รวมทั้งเน้นย้ำป้องกันมาตรการต่างๆ ไม่ให้มีการทำร้ายกันในสถานศึกษา และการป้องกันเรื่องบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งถือเป็นสินค้าต้องห้าม บุคคลที่มีบุหรี่ไฟฟ้าไว้ในความครอบครอง ถือว่ามีความผิด

การขับเคลื่อนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่มาตรฐานสากล สพฐ.

ในการจัดกิจกรรมปิดเทอมใหญ่ เด็กไทย “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทำ” ได้นำคำถามมาวิเคราะห์และออกข้อเสนอเกี่ยวกับประเด็นการพัฒนา นำผลการวิเคราะห์ส่งต่อสู่ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารการศึกษา และผู้บริหารโรงเรียนในพื้นที่ เพื่อเติมเต็มนักเรียนกลุ่มที่ตอบคำถามผิด (ส่วนใหญ่มาจากบางคนใช้มือถือตอบคำถาม ทำให้อ่านโจทย์ไม่ถนัดเพราะตัวหนังสือเล็กเกินไป, ไม่มีคุณครูช่วยกำกับดูแล) อาทิ การฝึกทักษะการอ่าน เพื่อตีความจากบทอ่าน ที่มีบริบทหลากหลาย, ฝึกวิเคราะห์ลักษณะของบทอ่านเชื่อมโยงกับข้อคำถาม จะนำไปสู่การค้นหาคำตอบที่ถูกต้อง, ครูควรมีคำถามเสริมเพื่อยกระดับการคิดของนักเรียน, ควรให้นักเรียนมีสมาธิในการอ่าน เพื่อความเข้าใจยิ่งขึ้น

สสวท. ร่วมกับ สพฐ. เผยแพร่ชุดพัฒนาความฉลาดรู้ 

สสวท. ร่วมกับ สพฐ. ดำเนินการจัดทำและเผยแพร่ชุดพัฒนาความฉลาดรู้ ฉบับปรับปรุงปี 2568 จำนวน 17 เล่ม 3 โดเมน ประกอบด้วย การอ่าน 5 เล่ม, วิทยาศาสตร์ 6 เล่ม และคณิตศาสตร์ 6 เล่ม สามารถดาวน์โหลดได้ที่เว็บไซต์ : https://d2ieq.ipst.ac.th การขับเคลื่อนเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 

การดำเนินการขับเคลื่อนในระดับเขตพื้นที่ฯ

โดยได้ดำเนินการขับเคลื่อนในระดับเขตพื้นที่การศึกษา แก้ไขปัญหาด้านการอ่านยาว (หมายถึง เด็กที่มีสมาธิการอ่านแค่ไม่กี่บรรทัด) สำหรับเด็ก ฝึกให้ข้อสอบมีการอ่านยาวขึ้นและเน้นการคิดวิเคราะห์ โดยตัวอย่างผลการดำเนินการขับเคลื่อนในระดับเขตพื้นที่กรณีศึกษา สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาจันทบุรี เขต 1 ซึ่งได้จัดประชุมเชิงปฏิบัติการต่อยอดขยายผลการสร้างข้อสอบวัดความฉลาดรู้ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (PISA) เพื่อพัฒนาคลังข้อสอบ วัดความฉลาดรู้ และคัดเลือกข้อสอบที่มีคุณภาพเพื่อเป็นต้นแบบของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาด้วย

ประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักเรียนระดับชั้น ม. 2 – 4 และผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม “เพิ่มพูน สมรรถนะความฉลาดรู้”

สพฐ.ประชาสัมพันธ์เชิญชวนนักเรียนระดับชั้น ม. 2 – 4 และผู้สนใจเข้าร่วมกิจกรรม “เพิ่มพูน สมรรถนะความฉลาดรู้” ด้านการอ่าน วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์ ในสัปดาห์ที่ 2 วันที่ 28-30 พ.ค.2568 เวลา 14.40 – 15.30 น.ซึ่งได้รับความร่วมมือวิทยากรจากครูโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณราชวิทยาลัย ประจำจังหวัดต่าง ๆ โดยมีการถ่ายทอดสดผ่าน OBEC Channel

สกศ. รายงานการพัฒนาระบบการศึกษาภายใต้หลักการแนวคิด Education Benchmarking 

ซึ่งเป็นการพัฒนาในรูปแบบการเปรียบเทียบการศึกษาไทยให้เทียบเท่าในระดับสากล ที่เน้นเป้าหมายและจุดที่ต้องการไปให้ถึง มากกว่าการจัดอันดับ (Ranking) เน้นการพัฒนาในเชิงคุณภาพ ปริมาณ และเน้นการวิเคราะห์จุดอ่อน และจุดแข็ง มากกว่าการพัฒนาอันดับ โดยแบ่งการเปรียบเทียบได้ 5 มิติ คือ

  1. คุณภาพผู้เรียน (Quality) ใช้ผลการทดสอบ PISA วิชาคณิตศาสตร์เป็นตัวชี้วัด (ที่มา: OECD)
  2. การเข้าถึงระบบการศึกษา (Access) ใช้อัตราการเข้าเรียนสุทธิระดับมัธยมศึกษาเป็นตัวชี้วัด (ที่มา: IMD)
  3. ความเท่าเทียมทางการศึกษา (Equity) ใช้ปีการศึกษาที่คาดหวังเป็นตัวชี้วัด
  4. ประสิทธิภาพในการจัดการศึกษา (Efficiency)  ใช้ตัวชี้วัดสัดส่วนของงบประมาณรายจ่ายด้านการศึกษา (%GDP) ต่อคะแนนเฉลี่ยการทดสอบ PISA เป็นตัวชี้วัด (ที่มา: IMD และ OECD คำนวณโดยสกศ.)
  5. การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง (Relevancy) ใช้สัดส่วนของประชากร อายุ 25 -34 ปีที่สำเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษา เป็นตัวชี้วัด(ที่มา: IMD)

โดยเปรียบเทียบภาพรวมของการศึกษาไทยในระดับโลก ระดับเอเชีย (ไทยมีความใกล้เคียงกับสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์) และระดับอาเซียน (ไทย ใกล้เคียงกับมาเลเซีย อินโดนีเซีย สำหรับลำดับรองลงมา คือ ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม) ซึ่งจากข้อมูลทำให้เห็นว่า “การศึกษาไทยมีศักยภาพเพียงพอ ที่จะเทียบเคียงกับระดับนานาชาติได้”            

รายงานผลการเบิกจ่ายและผลการใช้จ่ายงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2568

ภาพรวมของการเบิกจ่ายฯ ขณะนี้คิดเป็นร้อยละ 67.66 และภาพรวมการใช้จ่าย ร้อยละ 73.67 เมื่อเทียบภาพรวมผลการเบิกจ่ายและการใช้จ่าย ปัจจุบันยังต่ำกว่าเป้าหมายประมาณร้อยละ 2

ข้อสั่งการจาก รมว.ศธ.

  • มอบผู้ตรวจราชการกระทรวงศึกษาธิการ และศึกษาธิการภาค ให้ลงพื้นที่ตรวจสอบ กำกับติดตามการทำงานแบบบูรณาการในส่วนที่เกี่ยวข้อง โดยให้ทุกภาคส่วนเร่งดำเนินการในแต่ละด้าน ช่วยกันระดมความคิดเพื่อบริหารจัดการและพัฒนาให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ พร้อมมอบหมาย สกศ. นำข้อมูลเปรียบเทียบและรายงานผลการวิเคราะห์ย้อนหลัง 5 – 10 ปี ที่มีการเปลี่ยนแปลงด้านการศึกษา เพื่อวัดระดับที่ไทยสามารถพัฒนาขึ้นมาได้
  • ขอให้แต่ละหน่วยงาน โดยเฉพาะสถานศึกษา ดำเนินการจัดทำแผน/มาตรการป้องกันภัยเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับภัยธรรมชาติ อาทิ วาตภัย อุทกภัย การพัฒนาบุคลากรในรู้จักเอาตัวรอดในสถานการณ์คับขันต่างๆ เนื่องจากสังคมและสภาพภูมิอากาศของโลกที่เปลี่ยนแปลงไป อาจมีความเสียหายจากฝนตกหนัก และพายุฤดูร้อนเพิ่มขึ้น ตลอดจนการจัดทำมาตรการป้องกันปัญหายาเสพติด และบุหรี่ไฟฟ้า เหล่านี้ไม่สามารถดำเนินการคนเดียวได้ จึงควรมีเครือข่ายการทำงาน เช่น ฝ่ายปกครอง และเจ้าหน้าที่ตำรวจในพื้นที่
  • การดำเนินงานตามนโยบายของนายกรัฐมนตรี เรื่อง Thailand Zero Dropout ซึ่งนอกจากติดตามเด็กที่หลุดจากระบบการศึกษาแล้ว ต้องเฝ้าระวังเด็กที่กลับเข้าสู่ระบบการศึกษาที่เป็นกลุ่มเสี่ยง โดยในส่วนของ ศธ. ได้เน้นย้ำมิติของ 4 แนวทางหลัก คือ “ป้องกัน แก้ไข ส่งต่อ ติดตามดูแล” ซึ่งเมื่อกลับเข้าสู่ระบบการศึกษา ต้องทำให้มั่นใจว่าจะไม่ออกนอกระบบอีก
  • นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัด ศธ. กล่าวถึงกรณีปัญหาเรื่องนมโรงเรียน ที่มีรสชาติจืด ควรปรับมาตรฐานและรสชาติให้เหมาะสม สอดคล้องกับความต้องการของเด็ก เพื่อไม่ให้เหลือทิ้งและผู้ปกครองบางรายนำไปจำหน่ายต่อ (ซึ่งการจำหน่ายนมโรงเรียน ถือว่ามีความผิดตามกฎหมาย)
  • ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำ ศธ. ขอให้ สพฐ.ติดตามข่าวกรณีการเรียกรับเงินการสอบบรรจุแต่งตั้งครูในบางพื้นที่  

อีกประเด็นหนึ่งดี ๆ ที่อยากให้สื่อเผยแพร่ คือ เรื่องผู้ปกครองได้โพสต์ความคิดเห็นการที่นำเด็กมาเรียนในสังกัด สพฐ. ซึ่งมีค่าใช้จ่ายที่ถูกว่าเอกชน ทำให้เห็นว่าโรงเรียนในสังกัด สพฐ. มีมาตรฐานที่ได้รับการไว้วางใจ และมีการยอมรับในคุณภาพการศึกษามากขึ้น

สุกัญญา จันทรสมโภชน์  /ข่าว
สมประสงค์ ชาหารเวียง, ศุภณัฐ วัฒนมงคลลาภ /ภาพ-วีดิทัศน์

The post ศธ. ย้ำสถานศึกษาสีขาว เน้นบริหารงานโปร่งใส คู่ความปลอดภัยในรั้วโรงเรียน appeared first on กระทรวงศึกษาธิการ.

Share This Article

Related Post

Thai-Israel

ความตกลงว่าด้วยควา...