สำนักงานลูกเสือ
4 มีนาคม 2567 / ดร.วรัท พฤ...
30 พฤษภาคม 2568 – พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ พร้อมด้วยนายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ชี้แจงต่อที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ณ อาคารรัฐสภา ในส่วนของการจัดสรรงบประมาณของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ กล่าวในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ว่า กระทรวงศึกษาธิการได้นํานโยบายของรัฐบาลภายใต้การนําของนายกรัฐมนตรี “นางสาวแพทองธาร ชินวัตร” ไปดําเนินการขับเคลื่อน โดยประกาศนโยบายการศึกษา “เรียนดี มีความสุข” เพื่อลดภาระครูและบุคลากรทางการศึกษา การลดภาระนักเรียน และผู้ปกครอง มุ่งสู่ความ “ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทํา” ภายใต้แนวทางการทํางาน “จับมือไว้ แล้วไปด้วยกัน”
สิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการจะต้องดําเนินการเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกในศตวรรษที่ 21 โดยงบประมาณในปี 2567-2569 ได้รับการจัดสรรเพิ่มขึ้น แต่โครงสร้างงบประมาณปี 2569 จํานวน 355,108.4475 ล้านบาท (สามแสนห้าหมื่นห้าพันล้านบาทเศษ) ส่วนใหญ่เป็นงบบุคลากร 61.47% ส่วนที่เหลือเป็นงบเงินอุดหนุน 27.27% งบดําเนินงาน 3.87% งบลงทุน 3.83% และงบรายจ่ายอื่น 3.56%
หากเจาะลึกลงไป จะเห็นได้ว่า งบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2568 จํานวน 4.21% เป็นเงิน 14,333.8758 (หนึ่งหมื่นสี่พันสามร้อยสามสิบสามล้านบาทเศษ) 75 % เป็นงบเกี่ยวกับบุคลากร ที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากการปรับเงินเดือน 3% จาก 15,000 บาท เป็น 18,000 บาท และการสนับสนุนงบเงินอุดหนุน ได้รับเพิ่มขึ้นจากการปรับงบประมาณเงินอุดหนุนแบบขั้นบันได มีส่วนงบในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนรวมกันเพียง 25 %
ทั้งนี้ กระทรวงศึกษาธิการ ได้เสนอคําของบประมาณรายจ่ายประจําปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 จํานวนประมาณ สี่แสนสี่หมื่นล้านบาท (439,703.1856 ล้านบาท) แต่ได้รับการจัดสรรตามร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายเพียงสามแสนห้าหมื่นล้านบาทเศษ (355,108.4775) โดยงบดําเนินงาน ถูกปรับลดลงมากกว่าร้อยละ 52 งบลงทุน ถูกปรับ ลดลงมากกว่าร้อยละ74 และงบรายจ่ายอื่น ถูกปรับลดลงร้อยละ 39 ซึ่งงบประมาณในส่วนนี้ หากได้รับการจัดสรรเพิ่มเติม จะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้ดีขึ้น
และเมื่อเปรียบเทียบกับผลการจัดอันดับตัวชี้วัดงบประมาณรวมด้านการศึกษาต่อจํานวนประชากร ในปี 2023 (IMD 2023) ประเทศไทย อยู่อันดับที่ 57 ของประเทศที่เข้ารับการจัดลําดับจํานวน 67 ประเทศ และหากเปรียบเทียบกับกลุ่มภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ประเทศไทยอยู่ในอันดับ 10 ของกลุ่มจํานวน 14 ประเทศ ซึ่งถือว่าประเทศไทยยังได้รับการสนับสนุนด้านการศึกษายังน้อย เมื่อเทียบกับประเทศอื่น
แต่อย่างไรก็ตาม ขอให้เชื่อมั่นว่า กระทรวงศึกษาธิการ จะมุ่งมั่นตั้งใจแก้ปัญหาความท้าทายใหม่ ๆ ตามกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก ภายใต้งบประมาณที่ได้รับอย่างจํากัดให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด และจะเดินหน้าขับเคลื่อนการเรียนรู้แบบ 3 + 1 คือเรียนรู้ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน และเพิ่มทักษะดิจิทัล หรือ AI ส่งเสริมการพัฒนาเด็กปฐมวัย ส่งเสริมการพัฒนาการศึกษาในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และยกระดับคุณภาพการศึกษา เพื่อประโยชน์ต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และอนาคตของลูกหลานพวกเราทุกคน ให้ฉลาดรู้ ฉลาดคิด ฉลาดทํา
นายสุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รมช.ศธ. ชี้แจงประเด็นที่ถูกอภิปราย ดังนี้
การพิมพ์หนังสือแบบเรียนขององค์การค้าฯ
องค์การค้าของ สกสค. ได้โอนจากคุรุสภามาให้ สกสค.ดูแลตั้งแต่ปี 2558 โดยให้โอนทรัพย์สินดูแลในส่วนที่กำกับ เพื่อดำเนินการจัดพิมพ์ตำราเรียน สื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งตั้งแต่โอนมาไม่เคยได้รับงบประมาณแผ่นดิน เนื่องจากในการของบประมาณทุกครั้งถูกตัดมาโดยตลอด จึงทำให้ปีงบประมาณ 2569 ไม่ได้ของบประมาณในส่วนนี้
องค์การค้าฯ มีภารกิจที่สำคัญในการจัดพิมพ์แบบเรียนตั้งแต่ปี 2546 โดยหลังจากที่องค์การค้าฯ อยู่ภายใต้กำกับของ สกสค.ตาม พ.ร.บ.ครูฯ ได้ใช้ระบบการจัดซื้อจัดจ้างหนังสือแบบเรียนด้วยงบประมาณขององค์การค้าฯ เอง ไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากรัฐบาลแม้แต่บาทเดียว และหนังสือแบบเรียนขององค์การค้าฯ เมื่อเทียบกับสำนักพิมพ์เอกชนหน้าเทียบราคาหน้าต่อหน้า ถือว่าราคาถูกที่สุด
เพราะฉะนั้นในการจัดซื้อจัดจ้างแม้จะไม่ได้รับงบประมาณสนับสนุน แต่ยังต้องอยู่ภายใต้ระเบียบการคลังปี 2560 ซึ่ง รมว.ศธ.ได้เน้นย้ำทุกหน่วยงานเรื่องบริหารจัดการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่องค์การค้าฯ เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่ในการจัดพิมพ์หนังสือเรียน ให้ดำเนินการให้ทันก่อนเปิดภาคเรียนทุกครั้ง เพราะฉะนั้นการจัดซื้อจัดจ้างต้องเป็นไปด้วยความรอบคอบ โปร่งใสตามระเบียบ ยุติธรรม รวดเร็ว ตามระเบียบทุกวิธีการให้มีหนังสือเรียนได้ทันเปิดภาคเรียนทุกปี ให้ประชาชนเชื่อมั่นว่ารัฐบาลนี้ให้ความสำคัญและติดตามอย่างใกล้ชิดทุกครั้ง
การจัดทำหลักสูตรการเรียนการสอนปี 2568 ของ สพฐ.
หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2568 และหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น พ.ศ. 2568 ที่ประกาศใช้ในปีนี้ ได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการ กพฐ. ที่มี ดร.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อดีตอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นประธาน รวมถึงผู้ทรงคุณวุฒิหลายฝ่ายที่ร่วมประเมินผลในการทำหลักสูตรใหม่
เพราะฉะนั้นที่เข้าใจว่าทำแบบลวก ๆ ขอแจ้งว่าเราได้ใช้เวลาถึง 5 เดือนในการปรับปรุงหลักสูตรดังกล่าว และขอเน้นย้ำว่าหลักสูตรทำอย่างรอบคอบจากการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วน โดยเป็นการนำหลักสูตรฐานสมรรถนะเดิมที่เริ่มทดลองใช้ในพื้นที่นวัตกรรมการศึกษา 8 จังหวัด 184 โรงเรียน ตั้งแต่ปี 2566 แต่เนื่องจากสถานการณ์โลกเปลี่ยนแปลงไปในปัจจุบัน เทคโนโลยีดิจิทัลรอไม่ได้ นักเรียนของเราอาจจะพัฒนาไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก
ดังนั้น สพฐ.จึงมีมติตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 โดยสำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษาได้ออกแบบยกร่างหลักสูตรดังกล่าว และได้เชิญผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในด้านการศึกษา ทั้งอาจารย์มหาวิทยาลัย ศึกษานิเทศก์ ผู้บริหารโรงเรียนและครู ร่วมกันร่างหลักสูตรจนเสร็จสิ้น โดยใช้ชื่อว่า “หลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พ.ศ. 2568 และหลักสูตรการศึกษาประถมศึกษาตอนต้น พ.ศ. 2568” ซึ่งมีโรงเรียนสมัครใจเข้ามาใช้ถึง 4,398 แห่ง และมีการอบรมให้ความรู้พร้อมใช้หลักสูตรนี้พัฒนาให้เหมาะสมกับทุกช่วงวัย สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของโลก เท่าทันเทคโนโลยีดิจิทัล AI ที่จะเกิดเป็นสมรรถนะให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนา มีคุณภาพเท่าเทียมกับนานาประเทศ
หลักสูตรทวิภาคีของ สอศ.
สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา มุ่งเน้นการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีในระดับ ปวส. ปัจจุบันมีผู้เรียนอาชีวศึกษาทั้งหมด 629,066 คน ในจำนวนนี้เป็นผู้เรียนในระบบทวิภาคี 144,048 คน คิดเป็นร้อยละ 22.90 ของผู้เรียนทั้งหมด ซึ่งเมื่อเทียบกับปีก่อนเพิ่มขึ้นมา ร้อยละ 10.20 สำหรับในปีการศึกษา 2568 มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสัดส่วนในระบบทวิภาคี เป็นร้อยละ 35 ของจำนวนผู้เรียนในระบบ
ในการผลักดันเป้าหมายดังกล่าวจะสัมพันธ์กับงบประมาณที่เพิ่มขึ้นในปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 ที่มุ่งเน้นการใช้จ่ายงบประมาณไปที่การเตรียมความพร้อมให้กับผู้เรียน ก่อนการออกไปฝึกประสบการณ์วิชาชีพในสถานประกอบการ โดยระหว่างการฝึก ได้กำหนดให้ครูดำเนินการนิเทศติดตามผู้เรียนอย่างเข้มข้น ทั้งในรูปแบบออนไลน์และออนไซต์
ไปจนถึงหลังการฝึกได้ให้ผู้เรียนจัดทำแฟ้มสะสมผลงาน (Port Folio) เพื่อรวบรวมผลการปฏิบัติ ประเมินและวิเคราะห์จุดอ่อน/จุดแข็งของตนเอง เพื่อนำข้อมูลที่ได้มาพัฒนาผู้เรียนให้มีศักยภาพในการปฏิบัติงานสูงขึ้น
นอกจากนี้ สอศ.จะร่วมมือกับสถานประกอบการทั้งในประเทศและต่างประเทศ สนับสนุนผู้เรียน รวมถึงใช้กลไกความร่วมมือ อ.กรอ.อศ. ที่มีภาคเอกชนเป็นองค์ประกอบในคณะกรรมการ ภายใต้ระบบการขับเคลื่อนการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีระหว่างภาครัฐและเอกชน (Public – Private – Partnership : PPP) เพื่อส่งเสริมการใช้ทรัพยากรร่วมกันกับสถานประกอบการ ในการสร้างหลักสูตร การพัฒนาครูฝึกของสถานประกอบการ การใช้เทคโนโลยีและเครื่องมือเครื่องจักรของสถานประกอบการ ใช้สื่อการเรียนการสอนที่ปรับเปลี่ยนไปให้มีสมรรถนะตอบโจทย์ตรงกับที่ตลาดต้องการ ตอบโจทย์นโยบายรัฐบาลที่มุ่งเน้นการดำเนินการจัดสรรงบประมาณสอดคล้องกับการจัดการเรียนการสอนทวิภาคี ส่งผลให้นักเรียนมีรายได้ระหว่างเรียน มีทุนการศึกษา มีสวัสดิการ จบแล้วมีงานทำ 100%
พบพร ผดุงพล / ข่าว , กราฟิก
The post ศธ.เคลียร์ชัดงบ 69 องค์การค้าพิมพ์หนังสือเรียน “ไม่แตะงบหลวง” ย้ำหลักสูตรพร้อมเปลี่ยนแปลงเพื่อการศึกษา appeared first on กระทรวงศึกษาธิการ.